แม้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ในสนามเหมือนกับคู่ปรับ อริชาติ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วต่อไปจนถึงอนาคต แต่นอกสนามทั้งสองทีมกลับร่วมมือกันได้อย่างประหลาด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันผลักดัน project big picture แม้จะล้มไป แต่มีข่าวว่าวพวกเค้าเตรียมเป็นหัวหอกในการจัดตั้งโปรเจคยูโรเปี้ยน พรีเมียร์ลีคขึ้นมาอีก อะไรทำให้สองสโมสรนี้มีอะไรใหม่ๆมานำเสนอได้ตลอด
เจ้าของทีมไม่ใช่อังกฤษ
สิ่งแรกที่เราเชื่อว่ามีผลอย่างมากต่อทั้งสองทีมก็คือ ทั้งคู่แม้จะเป็นสโมสรเก่าแก่ของอังกฤษมานาน แต่ตอนนี้เจ้าของสโมสรทั้งคู่ไม่ใช่คนอังกฤษอีกต่อไป แล้วบังเอิญว่า เจ้าของดันเป็น อเมริกันชน ทั้งคู่ แมนยูก็เป็นตระกูลเกลเซอร์ ลิเวอร์พูลเป็นกลุ่มทุน FSG เมื่อเจ้าของไม่ใช่คนอังกฤษที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง ก็ทำให้พวกเค้ามีวิธีคิดแตกต่างออกไปจากเดิม ทั้งการตีความใหม่ การหาเงินเข้าสโมสร และการหาเงินจากช่องทางต่างๆมากมายแบบที่เราคิดไม่ถึงตามสไตล์อเมริกันเค้านั่นแหละ
ธุรกิจนำกีฬา
เชื่อมโยงต่อจากข้อที่แล้ว จะบอกว่า การทำทีมกีฬาของฝั่งอเมริกา กับ ฝั่งยุโรป มีความแตกต่างกันพอสมควร ฝั่งอเมริกาการทำทีมกีฬามีความเป็นธุรกิจนำมาก่อน ความรักในกีฬานั้น แต่อังกฤษ เค้าทำกีฬาด้วยความรัก แต่ก็หวังกำไรเพื่อต่อยอดให้ทีมรักทำผลงานให้ดีด้วยเหมือนกัน ทีนี้ตัดภาพมาที่ ลิเวอร์พูล กับแมนยู ตอนนี้ต้องยอมรับว่าแม้ผลงานจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เจ้าของกลับมีแนวคิดเหมือนกันที่มองว่า สโมสรต้องทำกำไรมองเป็นเรื่องธุรกิจนำมาก่อนกีฬาและผลงานในสนาม
เปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์(ตัวเอง)
จากโปรเจคสองเรื่องที่พวกเค้าผลักดัน ต้องยอมรับว่า แม้จะบอกว่าเพื่อพัฒนวงการฟุตบอลให้ก้าวหน้า แต่เอาจริง พวกเค้าคิดจะเปลี่ยนแปลงก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองล้วนๆ ทั้งโปรเจค big picture ก็ทำให้ตัวเองมีสิทธิ์ขาดในการโหวตเรื่องต่างๆมากขึ้น เตะน้อยลง แล้วไปโกยเงินในช่วงพรีซีซั่นมากขึ้น หรือ โปรเจคยูโรเปี้ยน พรีเมียร์ลีค ก็เพื่อเงินรางวัล และสิทธ์ประโยชน์การถ่ายทอดมากกว่า ก็ต้องดูกันว่า โปรเจคนี้จะไปได้แค่ไหน